เมื่อวันที่ 15 พ.ย.บริษัท ห้องเย็นโชติวัฒน์หาดใหญ่ จำกัด (มหาชน) ได้ทำหนังสือถึงตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เรื่องแจ้งหยุดการผลิตสินค้าที่โรงงานสาขาจังหวัดระยอง เนื้อความระบุว่าที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท เมื่อวันที่ 14 พ.ย. ที่ผ่านมา มีมติให้หยุดการผลิตสินค้าที่โรงงานสาขาระนอง ตั้งอยู่เลขที่ 93/17-18 หมู่ที่ 5 ถนนสะพานปลา ตำบลบางริ้น อำเภอเมือง จังหวัดระนอง ปัจจัยที่ส่งผลให้ทางบริษัทฯ ต้องหยุดการผลิตที่สาขาระนองเนื่องจากปัญหาด้านเศรษฐกิจเกิดการชะลอตัวอย่างต่อเนื่องในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ประกอบการเงินบาทที่แข็งค่าตั้งแต่ต้นปี 2562 ส่งผลกระทบโดยตรงต่อรายได้จากการส่งออกของบริษัท
คณะกรรมการมีความเห็นว่า
การหยุดการผลิตที่โรงงานสาขาระนองจะส่งผลให้บริษัทฯ สามารถลดต้นทุน และสามารถบริหารต้นทุนที่เกี่ยวข้องได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น สร้างโอกาสการแข่งขันในด้านราคาขายกับคู่แข่งทางการตลาดได้ สำหรับในด้านแหล่งวัตถุดิบที่ป้อนเข้าสู่กระบวนการผลิตที่โรงงานสาขาระนองนั้น จัดหาได้น้อยลงเป็นอย่างมาก ดังนั้น จึงได้มีมติให้หยุดการผลิตที่โรงงานสาขาระนอง ตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค. 62 เป็นต้นไป สำหรับการดำเนินงานดังกล่าวส่งผลให้บริษัทฯ ต้องเลิกจ้างพนักงานที่สาขาระนอง โดยบริษัทฯ จะจ่ายชดเชยค่าจ้างตามที่กฎหมายแรงงานกำหนด และคาดว่าเงินชดเชยค่าจ้างที่ต้องจ่ายให้กับพนักงานรวมเป็นเงินทั้งสิ้นประมาณ 20-22 ล้านบาท
ทั้งนี้ บริษัทฯ ไม่ได้รับผลกระทบในด้านการผลิตสินค้าตามคำสั่งซื้อของลูกค้า เนื่องจากกำลังการผลิตของโรงงานที่จังหวัดสงขลาสามารถรองรับคำสั่งซื้อของลูกค้าได้อย่างเพียงพอ
ด้านการผลิต การผลิตสาขาเกษตรกรรมกลับมาขยายตัว การผลิตสาขาที่พักแรมและบริการด้านอาหารขยายตัวเร่งขึ้น การผลิตสาขาการขนส่งและสถานที่เก็บสินค้าขยายตัวต่อเนื่อง ในขณะที่การผลิตสาขาการขายส่ง การขายปลีก และการซ่อมฯ สาขาก่อสร้าง และสาขาไฟฟ้า ก๊าซฯ ชะลอตัวลงจากไตรมาสก่อนหน้า ส่วนสาขาอุตสาหกรรมปรับตัวลดลงต่อเนื่อง สาขาเกษตรกรรม การป่าไม้ และการประมง ขยายตัวร้อยละ 1.5 ปรับตัวดีขึ้นจากการลดลงร้อยละ 1.3 ในไตรมาสก่อนหน้า สอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นของดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรร้อยละ 1.1 โดยผลผลิตสินค้าเกษตรสำคัญที่เพิ่มขึ้น ได้แก่ ยางพารา (ร้อยละ 5.9) มันสำปะหลัง (ร้อยละ 6.9) และปาล์มน้ำมัน (ร้อยละ 10.8) เป็นต้น ส่วนผลผลิตพืชเกษตรสำคัญที่ลดลง เช่น ข้าวเปลือก (ลดลงร้อยละ 6.3) และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ (ลดลงร้อยละ 5.2) เป็นต้น ด้านหมวดประมงขยายตัวร้อยละ 5.1 ในขณะที่หมวดปศุสัตว์ลดลงร้อยละ 1.0 ดัชนีราคาสินค้าเกษตรเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.4 เร่งขึ้นจากการขยายตัวร้อยละ 2.1 ในไตรมาสก่อนหน้า และเป็นการเพิ่มขึ้นเป็นไตรมาสที่สองติดต่อกัน โดยเฉพาะราคาข้าวเปลือก (ร้อยละ 9.9) ราคาสุกร (ร้อยละ 15.9) และราคากลุ่มไม้ผล (ร้อยละ 5.7) เป็นต้น การเพิ่มขึ้นของทั้งดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรและดัชนีราคาสินค้าเกษตร ส่งผลให้ดัชนีรายได้เกษตรกรโดยรวมเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.5 สาขาการผลิตอุตสาหกรรม ปรับตัวลดลงร้อยละ 1.5 ต่อเนื่องจากการลดลงร้อยละ 0.2 ในไตรมาสก่อนหน้า สอดคล้องกับการลดลงของการส่งออกที่ได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกและมาตรการกีดกันทางการค้า
โดยดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมที่มีสัดส่วนการส่งออกในช่วงร้อยละ 30 – 60 และดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมการผลิตเพื่อการส่งออก (สัดส่วนส่งออกมากกว่าร้อยละ 60) ลดลงร้อยละ 5.9 และดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมกลุ่มการผลิตเพื่อบริโภคภายในประเทศ (สัดส่วนส่งออกน้อยกว่าร้อยละ 30) ลดลงร้อยละ 2.3 อัตราการใช้กำลังการผลิตเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 65.0 ลดลงจากร้อยละ 65.6 ในไตรมาสก่อนหน้า และร้อยละ 68.7 ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมสำคัญ ๆ ที่ลดลง เช่น การผลิตยานยนต์ (ลดลงร้อยละ 6.3) การผลิตผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม (ลดลงร้อยละ 7.4) และการผลิตผลิตภัณฑ์ยางอื่น ๆ (ลดลงร้อยละ 18.2) เป็นต้น ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมสำคัญ ๆ ที่เพิ่มขึ้น เช่น การต้ม การกลั่น และการผสมสุรา (ร้อยละ 36.1) การผลิตพลาสติกและยาง (ร้อยละ 3.8) และการผลิตสัตว์น้ำและผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำสด แช่เย็นหรือแช่แข็ง (ร้อยละ 10.3) เป็นต้น สาขาที่พักแรมและบริการ
สหรัฐฯเตรียมออกกฏ ติดฟังชั่นวัดแอลกอฮอล์ในรถ, เกินค่า สตาร์ทไม่ติด
ต้องยอมรับว่า ไม่ว่าจะมีการรณรงค์ จัดแคมป์เปญหรือตั้งด่านถี่แค่ไหน แต่พฤติกรรมเมาแล้วขับ ยังคงเป็นอะไรที่พบเห็นได้ทั่วไป โดยเฉพาะในช่วงเทศกาล พฤติกรรมนี้ยังสร้างความเสียหายมากมายต่อทั้งผู้คนและทรัพย์สิน. ปัญหาเมาแล้วขับมีสามปัจจัยหลักๆคือ บุคคล+แอลกอฮอล์+รถ จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเราตัดเรื่อง ‘รถ’ ออกไป.
NHTSA (the National Highway Traffic Safety Administration)หรือหน่วยงานด้านความปลอดภัยทางจราจรบนทางหลวงของสหรัฐฯ ได้เริ่มทำการวิจัยเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีที่จะช่วยลดปัญหาเมาแล้วขับ. โดย สว. Tom Udall จากพรรค Democrat และ Rick Scott จาก Republican มีการเตียมเสนอกฏหมายใหม่เพื่อบังคับให้บริษัทรถยนต์ต่างๆ ติดตั้งเทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัยในรถยนต์และจักรยานยนต์รุ่นใหม่ ภายใน 5 ปีข้างหน้า.
โดยเทคโนโลยีนี้จะเป็นในลักษณะของการตรวจสอบปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดโดยการใช้อินฟรเรทฉายไปที่ปลายนิ้ว ใช้เซ็นเซอร์ที่ติดตั้งไว้ที่บริเวรปุ่มกดสตาร์ทหรือที่บริเวรพวงมาลัย หากมีการตรวจพบปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเกินค่ามาตรฐานที่ตั้งไว้ ระบบจะทำการตัดไปไม่ให้สามารถสตาร์ทรถได้. อีกความเป็นไปได้คือการตรวจจับการเคลื่อนไหวของดวงตาหรือลมหายใจของผู้ขับขี่.
NHTSA ลงทุนไปหลานล้านกับโปรเจ็คนี้, เทคโนโลยีดังกล่าวกำลังอยู่ในขั้นตอนการพัฒนาและทดสอบ ตั้งเป้าภายในปี 2024 รถทุดคันในอเมริกาจะต้องมีฟีเจอร์ตรวจวัดแอลกอฮอล์ในเลือดติดตั้งเป็นอุปกรณ์พิ้นฐาน. สำหรับรถในรุ่นปีที่เก่ากว่า ยังไม่มีความชัดเจนว่าจะแก้ปัญหาอย่างไร อาจมีการบังคับให้ติดตั้งในลักษณะของอุปกรณ์เสริมจ้างอู่ที่ได้มาตรฐานและมีใบอนุญาต ก็เป็นได้.
Credit : แนะนำสถานที่ท่องเที่ยว | แต่งบ้านและสวน | พระเครื่อง | รีวิวกล้องถ่ายรูป